เกี่ยวกับผู้แต่ง
ฉันไม่ใช่เป็นนักเขียนมืออาชีพ
ฉันเป็นนักธุรกิจธรรมดาๆ คนหนึ่งในประเทศไทย ฉันควรจะเป็นแค่เลขานุการผู้บริหาร (Management Trainee) เมื่อตอนฉันเริ่มทำงานครึ่งศตวรรษที่แล้ว แต่ฉันได้เป็นถึงผู้ร่วมก่อตั้งและกรรมการผู้จัดการใหญ่ของบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ในประเทศไทยที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในวัยเพียง 25 ปี แต่ต่อมา เช่นเดียวกับบทของหมอที่เล่นโดย Harrison Ford ในภาพยนตร์เรื่อง “The Fugitive” ฉันถูกกล่าวหาในอาชญากรรมที่ฉันไม่ได้ก่อ ฉันต้องใช้เวลาถึง 14 ปีในการต่อสู้เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง ซึ่งช่วงหนึ่งต้องใช้ชีวิตเป็นผู้ลี้ภัยอยู่ต่างแดน ในที่สุดได้เกิดอัศจรรย์ที่ทำให้ฉันหลุดพ้นจากทุกข้อกล่าวหาได้อย่างน่าอัศจรรย์ที่สุด ฉันใช้เวลาอีก 6 ปีในการรักษาหัวใจที่แตกสลายด้วยความทุกข์และความเจ็บปวดในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา แต่ในระยะเวลาที่ฉันได้ทนทุกข์ทรมานอันยาวนานนั้น ฉันกลับได้ค้นพบพระเจ้า และเพราะพระหรรษทานของพระองค์ ฉันจึงสามารถให้อภัยแก่ทุกคนที่ทำร้ายฉันได้
มันช่างเป็นช่วงที่ไม่ถูกกาลเทศะอย่างเหลือเกินสำหรับชีวิตของฉัน จังหวะที่ฉันหลุดพ้นจากพันธนาการต่างๆ ด้านกฎหมาย เศรษฐกิจของประเทศไทยก็ประสบกับภาวะที่คนเรียกกันว่า “ต้มยำกุ้ง” พอดี ในขณะที่ฉันอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่ทั้งทางร่างกายและจิตใจ เพราะหัวใจได้แตกสลายอย่างยับเยินและต้องการใครสักคนมาเป็นที่พึ่งและให้กำลังใจ สามีของฉันก็ได้ทิ้งครอบครัวของเราไป ปล่อยให้ฉันต้องเลี้ยงดูลูกๆ 4 คนตามลำพัง
อ้างว้าง เปล่าเปลี่ยว และหมดหวัง ฉันไม่มีใครเป็นที่พึ่งจริงๆ ฉันหันไปหาพระเจ้า ฉันสวดภาวนาอย่างร้อนรนด้วยความหวัง ความศรัทธาอย่างเต็มเปี่ยมในหัวใจ แล้วพระเจ้าก็ทรงได้ยินคำภาวนาและการร้องขอของฉัน แม้ว่าในขณะนั้นฉันจะยังไม่ได้เป็นคริสตชนก็ตาม!
ทุกวันนี้ ฉันเป็นคุณม่าที่มีความสุขของหลานๆ เป็นคุณแม่ที่ภาคภูมิใจของลูกๆ 4 คนที่เติบใหญ่ ฉันเป็นประธานกรรมการของสองบริษัทในนิคมอุตสาหกรรมในภาคตะวันออกของประเทศไทย ผลิตฉากกั้นอาบน้ำและกระจกนิรภัยแปรรูปทุกชนิด
ที่สำคัญที่สุด ขณะนี้ฉันเป็นคริสตชนที่สัตย์ซื่อและถวายชีวิตทั้งครบในการรับใช้พระเจ้าและถวายพระเกียรติแด่พระองค์ ฉันเขียน พูดแบ่งปัน และแม้กระทั่งวาดภาพเพื่อถวายพระเกียรติแด่พระองค์ ฉันต้องการเป็นสะพานเชื่อมเพื่อนำความรักขององค์พระผู้เป็นเจ้าไปสัมผัสจิตใจของทุกคนที่มารู้จักฉัน
ขอให้ท่านเป็นหนึ่งในท่านเหล่านั้นเทอญ
สาเหตุที่ต้องมาเขียนหนังสือเล่มนี้ ?
ในเดือนกรกฎาคม 2008 Nelson Mandela ประธานาธิบดีสีผิวคนแรกของประเทศแอฟริกาใต้ ผู้ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้นำ (Statesman) ผู้ยิ่งใหญ่ระดับโลกคนหนึ่ง ได้ฉลองวันคล้ายวันเกิดที่ 90 ปีของท่าน ไทม์แมกกาซีนได้ตีพิมพ์เรื่องราวชีวิตของท่านอย่างละเอียด และสรุปชีวิตของท่านด้วยประโยคสั้นๆ สองประโยค ซึ่งสร้างความประทับใจแก่ฉันเป็นอย่างยิ่ง.
“กุญแจดอกสำคัญในชีวิตของ Mandela คือ ระยะเวลาในคุกนั้น เขาเข้าไปด้วยความดื้อร้นและจิตใจว้าวุ่น และกลับออกมามีวินัยและสมดุล”
ถ้ามีใครสักคนมาถามฉันให้บรรยายถึงการออกจากป่าชีวิตในวัย 51 ปี ฉันจะตอบว่าอย่างไร ฉันจะตอบสั้นๆ เพียงหนึ่งประโยค
“ฉันออกมาอย่างมีความสุข”
ได้อย่างไร ?
นี่คือเหตุผลที่ฉันตัดสินใจเขียนหนังสือเล่มนี้.
เรื่องราวชีวิตที่ถูกกล่าวหาในสิ่งที่ไม่ได้ทำ สามารถพิสูจน์ความบริสุทธิ์หลังจาก 14 ปี ค้นพบพระเจ้าในระหว่างทาง สามารถให้อภัยทุกคนที่ทำผิดต่อฉัน และในที่สุดก็สามารถกลับมาสู่สภาวะเดิมได้ทุกอย่างทั้งทางร่างกาย จิตใจ และทางการเงิน ไม่ควรจะเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้โดยเปล่าประโยชน์ ฉันตัดสินใจนำความเจ็บปวดความทุกข์ทรมานอันยาวนานมาเปลี่ยนเป็นสิ่งมีคุณค่าและมีประโยชน์ หนังสือเล่มนี้จึงได้ถูกเขียนขึ้นเป็นภาษาไทยในปี 2009 และได้รับการแจกเป็นของขวัญแก่ผู้มาร่วมงานฉลองวันคล้ายวันเกิดครบ 5 รอบของฉันในเดือนมิถุนายนในปีนั้น วัตถุประสงค์ของการเขียนหนังสือเล่มนี้คือ การเป็นพยานว่าพระเจ้ามีจริง ทรงพระเมตตา และเป็นองค์แห่งความรัก.
ตั้งแต่นั้นมา ฉันไม่เคยเหลียวหลังกลับอีกเลย ฉันได้รับเชิญให้ไปออกรายการเจาะใจที่มีผู้ชมเกือบ 10% ของประชากรของประเทศไทยในขณะนั้น ฉันได้รับเชิญให้ไปพูดแบ่งปันตามการชุมนุมทางศาสนา โดยเฉพาะการประชุมพระเมตตาระดับทวีปและระดับโลก รวมทั้งในสังฆมณฑลต่างๆ ทั่วประเทศไทย จากการเรียกร้องของผู้ฟังในทุกประเทศที่ฉันไปพูด ฉันจึงตัดสินใจเขียนหนังสือเล่มนี้เป็นภาษาอังกฤษชื่อ “Moving the Mountain” by Mary Sarindhorn และได้รับการตีพิมพ์ในรูปแบบ e-book บน. www.amazon.com แต่ผู้ฟังก็ยังคงต้องการอ่านหนังสือเล่มนี้ในลักษณะรูปเล่ม ในที่สุด ฉันจึงตัดสินใจมอบโอนลิขสิทธิ์พร้อมทั้งรายได้ทั้งหมดจากการพิมพ์และจำหน่ายหนังสือเล่มนี้ฉบับภาษาอังกฤษที่เป็นรูปเล่มให้แก่สังฆมณฑล Bacolod ประเทศฟิลิปปินส์ ในเดือนมกราคม 2017
ในวัย 70 ขณะนี้ นี่คือ การแนะนำตัวเองของฉัน “ฉันเป็นข้ารับใช้ที่สัตย์ซื่อของพระเจ้า เป็นแม่และคุณม่าที่มีความสุข และเป็นนักธุรกิจ ตามลำดับ” ฉันยังคงเขียนบทเขียนของฉันในชื่อว่า “บทสวดของฉัน” ได้ถูกส่งไปยังผู้รับเดือนละสองฉบับ และฉันก็วาดภาพถวายแด่พระเจ้าด้วย ผู้อ่านสามารถอ่านบทเขียนและชมภาพวาดของฉันได้ใน 'www.thaicatholicbible.com'. ถ้าหัวใจของเราเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักและพระพรของพระเจ้า มันจะปรี่ล้นออกมา นี่คือสิ่งที่ฉันกำลังทำทุกวันนี้ แบ่งปันความรักและพระพรของพระเจ้าแก่ทุกคนที่ดูเว็บไซต์นี้.
ขอพระเจ้าประทานพระพรให้แก่ทุกท่านเทอญ.
บันทึกของผู้แต่ง
ความจริงเกี่ยวกับชีวิต
ท่านเคยคิดไหมว่า มนุษย์เราเกิดมาทำไม? ฉันเชื่อว่าคงต้องมีหลายท่านที่เคยถามคำถามนี้ แล้วท่านได้คำตอบไหม? หลายท่านอาจจะได้แล้ว ในขณะที่บางท่านอาจจะยังไม่ได้ จากประสบการณ์ของฉันเอง ผู้ที่ถามคำถามนี้กับตัวเองส่วนใหญ่จะเคยผ่านความทุกข์ยากลำบากในชีวิต ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
ยี่สิบปีได้ถูกกระชากออกจากชีวิตของฉัน จากวัย 31 ปี ถึง 51 ปี ควรจะเป็นช่วงที่เปี่ยมไปด้วยพลังที่สุดในชีวิต แต่ฉันกลับต้องใช้ชีวิตช่วงหนึ่งในวัยนั้นในฐานะผู้ลี้ภัย และต้องใช้เวลาถึง 14 ปีเต็ม ในการต่อสู้อย่างสุดกำลังในการได้มาซึ่งความยุติธรรมในความผิดที่ฉันไม่ได้เป็นผู้กระทำ และด้วยอัศจรรย์ ฉันจึงสามารถหลุดพ้นจากบ่วงกรรมอันโหดร้ายนั้นได้ แต่ฉันต้องใช้เวลาอีก 6 ปีเต็มในการเยียวยารักษาแผลให้กับตัวเองทั้งทางร่างกายและจิตใจ ในระหว่างระยะเวลาอันทุกข์ทรมานที่ยาวนาน ฉันถามตัวเองจนเบื่อที่จะตอบว่า ฉันเกิดมาทำไม? และเป้าหมายของการมีชีวิตอยู่คืออะไร?
ในทางพุทธศาสนา มีคำตอบ พุทธศาสนิกชนเชื่อในการเวียนว่ายตายเกิด ในหลักกรรม ใครมีชีวิตเป็นเช่นไรในโลกนี้ล้วนแล้วแต่ขึ้นอยู่กับการกระทำในชาติก่อนหรือก่อนๆ ฟังแล้วเข้าใจง่าย แต่ฉันเป็นพุทธศาสนิกชนที่เปลี่ยนไปเป็นคริสตชนเพราะเกิดอัศจรรย์ที่ทำให้ฉันหลุดพ้นจากคดีอันไม่เป็นธรรมได้อย่างน่าทึ่งที่สุด พระเจ้าเท่านั้นที่จะทรงทำให้เกิดอัศจรรย์นั้นได้.
ฉันเริ่มแสวงหาพระเจ้า.
ฉันศึกษาพระคัมภีร์ด้วยความตั้งใจและความเชื่อความศรัทธา และเริ่มปฏิบัติตนตามพระวาจาในพระคัมภีร์นั้น ในเวลาเดียวกัน ฉันก็สวดอธิษฐานอย่างสม่ำเสมอทุกๆ วัน ในที่สุดกว่าฉันจะรู้ตัว ฉันก็ค้นพบว่าความเจ็บปวดและความทุกข์ในใจฉันได้อันตรธานสิ้น สิ่งที่มาอยู่แทนที่ในหัวใจฉันคือ พระเจ้า!.
ฉันได้เข้าใจว่าพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งในโลกนี้รวมทั้งมนุษย์ ทุกคนเกิดมาโดยมีเป้าหมายในชีวิตแต่ละคน แต่ในที่สุดคือ การรับใช้พระองค์ เรารักเพื่อนมนุษย์ เราช่วยเหลือผู้ที่ด้อยกว่าเรา เราประกาศข่าวดี ... เราปฏิบัติตามพระวาจาของพระองค์ ... เหล่านี้คือ การรับใช้พระองค์
ความทุกข์คือ ส่วนหนึ่งของชีวิต แต่อย่าให้ความทุกข์ฉุดท่านให้จมลงสู่ก้นบึ้งแห่งความหมดหวัง ตรงกันข้าม ทำไมไม่หมุนกลับและนำพลังจากความทุกข์นั้นมาทำความดีเล่า? ฉันนำ 20 ปีแห่งความทุกข์ทรมานของฉันมาเป็นเรื่องราวที่จะนำผู้คนมารู้จักพระเจ้า ระหว่างทางฉันได้ค้นพบตัวเองและความหมายที่แท้จริงของชีวิต นั่นคือ การมีชีวิตอยู่ การรัก และการรับใช้
การเป็นพยาน
ตั้งแต่ฉันได้รับศีลล้างบาปในวันที่ 2 มิถุนายน 1996 และเรื่องราวชีวิตของฉันได้ถูกตีแผ่ออกไป ฉันได้รับเชิญให้ไปพูดแบ่งปันทั้งในแวดวงพระศาสนจักรคาทอลิกและทางคริสตจักร ฉันได้ไปพูดแบ่งปันครบทั้ง 10 สังฆมณฑลในประเทศไทย ทั้งในงานชุมนุมของแต่ละสังฆมณฑลทั่วราชอาณาจักร
ในเดือนตุลาคม 2012 ประเทศไทยได้เป็นเจ้าภาพจัดงานชุมนุมพระเมตตาระดับเอเชีย ครั้งที่ 2 (AACOM II) พระสงฆ์ผู้ดูแลกำหนดการของการชุมนุมครั้งนั้นได้ขอให้ฉันเป็นฆราวาสผู้แบ่งปันหลักของงาน ฉันรับปากด้วยความยินดี มีผู้แทนจาก 10 ประเทศมาร่วมการชุมนุมในครั้งนั้น
ฉันไม่มีทางจะทราบได้เลยว่าการแบ่งปันครั้งนั้นจะทำให้ฉันได้รับเชิญไปพูดในระดับนานาชาติเป็นระยะต่อเนื่องในปีต่อๆ มา จนถึงปัจจุบัน ดังนี้.
- PACOM II (The 2nd Philippines Apostolic Congress of Mercy) ที่เมือง El Salvador City ประเทศฟิลิปปินส์ วันที่ 2 พฤษภาคม 2013
- WACOM III (The 3rd World Apostolic Congress on Mercy) ที่เมือง Bogota ประเทศโคลัมเบีย วันที่ 18 สิงหาคม 2014
- AACOM III (The 3rd Asia Apostolic Congress on Mercy) ที่เมือง Medan ประเทศอินโดนีเซีย วันที่ 14 ตุลาคม 2015
- 51st IEC (The 51st International Eucharistic Congress) ที่เมือง Cebu ประเทศฟิลิปปินส์ วันที่ 30 มกราคม 2016
- PACOM III (The 3rd Philippines Apostolic Congress on Mercy) ที่เมือง Bacolod ประเทศฟิลิปปินส์ วันที่ 10 มีนาคม 2016
- งานกาล่าดินเนอร์หาทุนสร้างโรงเรียนแก่เด็กยากจนที่ Samar ที่เมือง Cebu ประเทศฟิลิปปินส์ วันที่ 24 กันยายน 2016
- งานเปิดตัวหนังสือ Moving the Mountain ฉบับรูปแล่มภาษาอังกฤษ ที่เมือง Bacolod ประเทศฟิลิปปินส์ วันที่ 14 มกราคม 2017
- WACOM IV (The 4th World Apostolic Congress on Mercy) ที่กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ วันที่ 17 มกราคม 2017
- VACOM III (The 3rd Visayan Apostolic Congress on Mercy) ที่เมือง Iloilo ประเทศฟิลิปปินส์ วันที่ 6 ธันวาคม 2017
- RACOM I (The 1st Region 8 Apostolic Congress on Mercy) ที่เมือง Tacloban ประเทศฟิลิปปินส์ วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2018
ในประเทศไทยเอง ฉันยังคงได้รับเชิญไปพูดแบ่งปันในโอกาสต่างๆ ของพระศาสนจักร รวมทั้งการได้รับการสัมภาษณ์ออกสื่อโทรทัศน์ในรายการต่างๆ นับเป็นกระแสเรียกพิเศษที่ฉันขอน้อมรับด้วยความยินดีและความถ่อมตน และจะทำหน้าที่นี้อย่างดีที่สุด.
ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าจงได้รับการถวายพระเกียรติอย่างสูงสุดเทอญ !
งานอดิเรกเพื่อถวายพระเกียรติ
1. การเขียนของฉัน
ตอนที่ฉันรับศีลล้างบาปในปี 1996 นั้น ฉันเต็มไปด้วยความทุกข์ พระเจ้าทรงเป็นผู้เดียวที่ฉันสามารถหันไปหาเพื่อพักพิงและพึ่งพา ฉันสวดทูลขอพระองค์ พระองค์ทรงเงียบ ฉันจึงคิดว่าวันหนึ่งๆ มีผู้คนสวดทูลขอความช่วยเหลือจากพระองค์เป็นล้านๆ คน บทสวดภาวนาของฉันอาจจะหลงปะปนอยู่ท่ามกลางบทสวดภาวนาเหล่านั้น ด้วยความซื่อบริสุทธิ์ ฉันคิดว่าฉันคงจะต้องหาวิธีที่จะทำให้คำทูลขอของฉันไปถึงพระองค์เพิ่มเติมจากแค่การสวดภาวนาเท่านั้น ฉันเริ่มเขียน ฉันเล่าความทุกข์ความเจ็บปวดในหัวใจ เล่าทุกสิ่งทุกอย่างทูลให้พระองค์ฟังอย่างหมดหัวใจ ด้วยความหวังว่า บทเขียนของฉันจะไปถึงพระองค์ แล้วมันก็บังเกิดผล! การได้ระบายความในใจออกมาเป็นตัวหนังสือทำให้ความรู้สึกเจ็บปวดในหัวใจบรรเทาลงทันตาเห็น แน่นอนอยู่แล้วว่าที่ผ่านๆ มา พระเจ้าก็ทรงได้รับทราบถึงคำทูลขอจากการสวดภาวนาของฉันอย่างต่อเนื่อง และอาจจะทรงยิ้มในความไร้เดียงสาของฉันมาตลอดก็ได้!
ฉันเรียกบทเขียนของฉันว่า “บทสวดของฉัน” และได้เขียนต่อเนื่องมาเรื่อยๆ จนวันหนึ่งผู้นำฆราวาสคนหนึ่งได้มีโอกาสอ่าน “บทสวดของฉัน” เขาสนใจจะนำ “บทสวดของฉัน” ไปลงในสารวัดของเขาที่พิมพ์ทุกวันอาทิตย์ ด้วยความถ่อมตนว่าบทเขียนของคริสตชนใหม่คนหนึ่งไม่น่าจะมีคุณค่าพอในการพิมพ์ใส่สารวัด ฉันควรจะหาอะไรเพิ่มเติมในบทเขียนของฉัน แล้วฉันก็คิดถึงหนังสือเล่มหนึ่งที่เคยได้อ่าน Guidepost เป็นหนังสือแมกกาซีนที่มีเรื่องราวสั้นๆ ของคริสตชนที่เป็นพยานถึงพระเจ้า แต่ละบทจะมีพระวาจาของพระเจ้ากำกับอยู่ในบริบทที่เกี่ยวข้อง ใช่แล้ว! นี่คือสิ่งที่ฉันจะทำ ฉันจะนำพระวาจาของพระเจ้ามาใส่ใน “บทสวดของฉัน” และนี่คือสิ่งที่ได้นำฉันให้ศึกษาพระคัมภีร์อย่างตั้งใจและถ่องแท้จากนั้นเป็นต้นมา.
ฉันยังคงเขียน “บทสวดของฉัน” อย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน เดือนละสองบท หนึ่งร้อยบทแรกได้ถูกพิมพ์เป็นหนังสือเล่มแรกของฉัน และได้มีการพิมพ์ถึง 3 ครั้ง ฉันกำลังจะเขียนถึงบทที่ 400 ในเวลาอันใกล้นี้ “บทสวดของฉัน” มีผู้อ่านทั้งทางอีเมล์และทางไปรษณีย์ และด้วยความกรุณาของพระสังฆราชองค์หนึ่งที่ลูกเคารพรัก ท่านให้โพสต์ลงบนเว็บไซต์ www.thaicatholicbible.com มองย้อนหลัง การเขียนก็เป็นกระแสเรียกอีกอย่างหนึ่งของฉันในการรับใช้พระองค์ที่ฉันไม่ทราบในตอนต้น .
ขอพระองค์ทรงได้รับการถวายพระเกียรติอย่างสูงสุดจากการเขียนของลูกเทอญ!.
การสรรเสริญเป็นของพระเจ้า!
2. การวาดภาพ
ลูกสาวคนโตของฉันชอบวาดภาพ สองทศวรรษก่อนเธอวาดภาพๆ หนึ่ง เป็นภาพแม่นกกับลูกนก 4 ตัว เป็นของขวัญที่ฉันไปงานรับประกาศนียบัตรมัธยมปลายของเธอ ฉันบอกกับตัวเองว่า “เธอคงได้รับพรสวรรค์ในการวาดรูปจากแม่” ฉันถามลูกสาวว่าจะวาดภาพต้องทำอย่างไร แล้วฉันก็ซื้อเครื่องมือเครื่องใช้ที่จำเป็นสำหรับการวาดภาพกล่าวคือ ขาตั้ง ผ้าใบ สี ฯลฯ แล้วฉันก็เริ่มวาดโดยไม่เคยเรียนการวาดภาพเลย.
วาดสักพักหนึ่ง เพื่อนก็ได้ชวนไปเรียนกับศิลปินชาวอเมริกันผู้หนึ่งที่พำนักอยู่ในกรุงเทพฯ สักพักเดียว ครูชาวอเมริกันผู้นั้นก็กลับบ้านไป ฉันจึงตัดสินใจวาดเองต่อ เมื่อถึงขั้นหนึ่งก็เบื่อการวาดภาพวิวต่างๆ จึงคิดดำริวาดภาพวิถีชีวิตของคนไทย เป็นต้นว่า พระสงฆ์รับใส่บาตร ฯลฯ ลูกสาวคนเล็กจึงพูดกับฉันว่า “หม่ำมี้ขา เราเป็นคริสตชน ทำไมไม่วาดรูปทางศาสนาคริสต์เล่า?” ฉันตอบเธอไปว่า “รูปทางคริสต์วาดง่ายซะเมื่อไร่ล่ะ” “ไม่ลองก็ไม่รู้ค่ะ” นั่นนะซิ ลูกสาวพูดถูก แล้วฉันก็ลงมือ เริ่มต้น ฉันศึกษางานของจิตรกรเอกระดับโลกที่ส่วนใหญ่เกี่ยวกับคริสตศาสนา อาทิเช่น Caravaggio, Michelangelo, Leonardo da Vinci ฯลฯ ไหนๆ จะศึกษาทั้งที ทำไมไม่ศึกาจากระดับสูงสุดของโลกล่ะ ?
ฉันใช้เครื่องมือพิเศษในการวาดภาพทางศาสนาคือ หัวใจ! บวกกับความเชื่อ ความศรัทธา และคำสวดภาวนาในการวาดแต่ละภาพ กว่าฉันจะรู้ตัว ฉันก็ได้วาดภาพหลายภาพที่ฉันคิดว่ามีค่าเกินกว่าที่จะติดบนผนังในบ้านอันธรรมดาสามัญของฉัน ขณะนี้จึงมีภาพวาดของฉันแขวนอยู่ที่สถานเอกอัครสมณทูตวาติกันประจำประเทศไทย สำนักมิสซังฯ อารามของคณะซิสเตอร์กลาริส คาปูชิน สามพราน ฯลฯ.
ในปี 2014 ฉันได้ไปเที่ยวประเทศสเปนกับลูกๆ และมีโอกาสได้ไปเยี่ยมชมบ้านของ Picasso จิตรกรระดับโลกในอีกรูปแบบหนึ่ง เมื่อกลับถึงบ้าน ฉันมีความใฝ่ฝันอยากวาดภาพที่เป็นแบบ Surreal หรือแบบเล่าเรื่อง (Allegorical) ฉันจึงเริ่มต้นนำพระวาจาของพระเจ้าจากพระคัมภีร์มาวาดเป็นภาพ เป็นต้นว่า จงรักศัตรู (ลูกา 6:27) เป็นต้น นับเป็นการวาดภาพที่เป็นซีรีส์จากพระคัมภีร์และพระสังฆราชผู้เปี่ยมด้วยใจกรุณาองค์เดียวกันก็ได้กรุณาให้อีกคอลัมน์หนึ่งบนเว็บไซต์ www.thaicatholicbible.com www.thaicatholicbible.com ชื่อว่า Art for God แก่ภาพวาดทางศาสนาทั้งหมดของฉัน.
ฉันยังวาดภาพอย่างต่อเนื่องและส่วนใหญ่จะในบริบทของศาสนาคริสต์ ฉันได้เรียนรู้ว่า เราสามารถถวายเกียรติแด่พระเจ้าได้ด้วยทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำ แม้กระทั่งในงานอดิเรก!
การถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าอย่างสูงสุดคือ การดำรงชีวิตอย่างมีคุณค่าที่สุด!